logo1.gif (3769 bytes)

?

sen.gif (11170 bytes)

รวมเว็บพุทธศาสนา การปกครองสงฆ สมณศักดิ์-พัศยศ พุทธรูปปางสำคัญ โชคชตาราศ

พุทธศาสนสุภาษิตบาลี-ไทย-อังกฤษ      

ประเพณี-วันสำคัญ สมาธิภาวนา พิธีกรรม


คอลัมส์ Hot fire.gif (6156 bytes)

ศาสนากับสังคมnew1234.gif (1122 bytes)
หลังกำแพงวัด
บทความพิเศษupdate.gif (670 bytes)

cameraflash.gif (2611 bytes) ข่าว - การสื่อสาร

ส่งเพจเจอร์  142 152 162 1144 1188 1500 มือถือ GSM900 1800 ส่งเพจได้ยาวไม่จำกัด SIAMPAGE PPA Sabye
 Newspaper ไทยรัฐ เดลินิวส์ ในเครือมติชน The Nation กรุงเทพธุรกิจ Bangkok Post
ผู้จัดการ    ไทยโพสต์  เส้นทางเศรษฐกิจ

odorokiz.gif (1069 bytes) สาระน่ารู้

แผนที่กรุงเทพ
แผนที่ทางด่วน
แผนที่รถไฟฟ้า BTS
ภาพถ่ายการจราจรสดๆ
ตารางรถไฟ
สคูลเน็ต
ด.เด็ก เวบเด็กไทย
ห้องสมุดกฎหมาย
ห้องสมุด E-LIB
ห้องสมุดวิทยพัฒน์

ปุจฉา-วิสัชชนา

ประสบการณ์ที่เกี่ยวเรื่องผี ๆ
ิคดอย่างไร จะให้คนไทยเลิกบุหรี่


     วันนี้

กิเลส

?

ความหมายของคำว่า"กิเลส"

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายว่า" เครื่องทำให้ใจเศร้าหมอง ได้แก่ โลภ โกรธ หลง เช่น ยังตัดกิเลสไม่ได้ กิเลสหนา กิริยามารยาท ในคำว่า กิเลสหยาบ"

พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตโต) ให้ความหมายว่า " สิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง, ความชั่วที่แฝงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ทำให้จิตใจขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์"

พุทธทาสภิกขุ ให้ความหมายว่า "ความยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวกูก็ตาม เป็นของกูก็ตาม นี่แหละคือ แม่บทของกิเลสทั้งปวง"

พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์ ให้ความหมายว่า " คำว่ากิเลสตรงกับคำว่าโรค กิเลสเป็นโรคของจิต หมายถึงสิ่งที่ทำให้จิตเสื่อมโทรมนั่นเอง"

สุชีพ ปุญญานุภาพ ให้ความหมายว่า " คือความไม่ดีไม่งาม หรือความเศร้าหมองในจิตใจ อันกล่าวโดยย่อ ได้แก่ ความโลภ ความโกรธ และความหลง"

ดร.เดือน คำดี ให้ความหมายว่า " สภาวะที่ทำให้จิตเศร้าหมอง หรือเป็นเครื่องสกัดกั้นไม่ให้ถึงความบริสุทธิ์สะอาดในกาย วาจา และใจ"

จากคำนิยามความหมายของคำว่า" กิเลส" ข้างต้นนี้ อาจสรุปได้ว่า กิเลสหมายถึง สภาพที่เป็นเหตุให้จิตเศร้าหมอง เป็นสภาพขัดขวางต่อความเจริญทางจิต และเป็นสภาพทำให้จิตขาดความเป็นปกติ กล่าวคือ ตามธรรมชาติแห่งจิตดั้งเดิมมีความบริสุทธิ์เป็นปกติ แต่ต่อมาถูกกิเลสทำให้เศร้าหมองไม่บริสุทธิ์ ดังพุทธพจน์ที่ว่า " ปภสรมิทํ ภิกขเว จิตตํอาคนตุเกหิ อุปกิเลเสหิ อุปกิลิฎฐํ" แปลว่า ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผ่องใส ถูกกิเลสที่จรมาทำให้เศร้าหมอง

มีหลายศัพท์ที่มีความหมายเดียวกันกับกิเลสหรือเป็นไวพจน์องกิเลส เช่น ตัณหา โอฆะ สังโยชน์ คันถะ โยคะ อาสวะ เป็นต้น

ประเภทของกิเลส

พระพุทธเจ้าตรัสแสดงกิเลสไว้มากมายหลายประเภท โดยต่างเวลา สถานที่ และบุคคล จึงไม่อาจทราบจำนวนทั้งหมดของกิเลสว่ามีจำนวนเท่าใด อาจเป็นไปได้ว่าการที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสจำนวนสุทธิของกิเลสนั้น เพราะว่ากิเลสมีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนและสรรพสัตว์มีกิเลสแตกต่างกันและไม่เท่าเทียมกันตามระดับของสภาพจิตที่ไม่เหมือนกัน สังเกตได้จากหลักธรรมที่ทรงแสดงนั้นอนุกูลหรือเหมาะแก่จริตหรืออัชฌาศัยของผู้ฟังเป็นอย่างยิ่งทั้งนี้เป็นเพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงตรวจดูอัชฌาศัยของผู้ฟังก่อนแสดงธรรม เหตุนี้ทำให้ผู้ฟังบรรลุธรรม คงเป็นเพราะเหตุนี้ กิเลสจึงถูกแสดงไว้ตามที่ปรากฎในหลายสูตรและมีหลายหมวดหมู่เหมือนกันบ้างต่างกันบ้าง

ในพุทธปรัชญา คำว่า " กิเลส " เป็นคำที่มีความหมายกว้าง หมายถึงสภาพที่ทำให้จิตเศร้าหมองทุกประเภท

แต่กิเลสที่เป็นอกุศลมูลหรือต้นเค้าของกิเลสทั้งหมด มี ๓ ประเภท คือ:

-โลภะ คือ ความทะยานอยาก

-โทสะ คือ ความคับแค้น

-โมหะ คือ ความลุ่มหลง

กิเลสทั้ง ๓ ประเภทนี้ เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้กิเลสมากมายเกิดติดตามมา กิเลสนี้มีชื่อเรียกและมีคุณลักษณะแตกต่างกัน กล่าวคือ หากมองในแง่ของความทะยานอยากเรียกว่า " ตัณหา " มองในแง่เครื่องร้อยรัดเรียกว่า " คันถะ " มองในแง่ความกว้างใหญ่เหมือนมหาสมุทรเรียกว่า " โอฆะ " เป็นต้น จะเห็นได้ว่ากิเลสที่แยกย่อยออกไปมีจำนวนมากมาย ดังสำนวนโบราณที่ว่า " กิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปด " ในคำภีร์ไตรภูมิพระร่วง มีการกล่าวถึงจำนวนกิเลสและวิธีนับไว้ ในอรรถกถาปฐมสมันตปาสาทิกา กล่าวว่า " พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ได้ทรงหักกิเลสเครื่องเร่าร้อนกระวนกระวายทุกอย่างตั้งแสนอย่าง " (ที่ระบุไว้นับได้ ๓๑๐ อย่าง) ส่วนในพระไตรปิฎกนับกิเลสได้จำนวน ๓๓๖ อย่าง เป็นที่น่าสังเกตว่า คัมภีร์ทั้งสามนี้ได้ระบุจำนวนกิเลสด้วยสำนวนโวหารไม่เหมือนกัน เพื่อให้หมายรู้ว่ากิเลสมีจำนวนมากมายนัก แต่มิมุ่งหมายจำนวนกิเลสที่แน่นอน เหมือนสำนวนว่า "โจรห้าร้อย " ฉะนั้น เพราะเหตุนี้ จึงไม่สามารถกำหนดได้โดยละเอียดว่ากิเลสทั้งหมดมีจำนวนเท่าใด แต่อาจเข้าใจได้ว่า กิเลสที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงเท่าที่ปรากฎในคัมภีร์ต่างๆนั้น น่าจะเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น เพราะเหตุที่ธรรมที่ตรัสแสดงเป็นเพียงส่วนน้อยในส่วนใหญ่แห่งธรรมทั้งหลาย ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสอุปมาธรรมที่พระองค์ทรงแสดงนั้นเหมือนใบไม้ในกำมือเดียว ฉะนั้น

ในคัมภีร์ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล (น.๒๑๕) วิสุทธิมรรค ภาค๑ (น.๒๗๐) และพระไตรปิฎก (เถร.อ. ๒/๒๔, วินย.ฎีกา ๑/๔๘๑) ได้จำแนกกิเลสในความหมายในนัยคือสิ่งที่คอยขัดขวางความดีโดยเรียกว่า " มาร " ไว้ ๕ ประเภท คือ :

๑. กิเลสมาร คือ มารคือกิเลส

๒. ขันธมาร คือ มารคือขันธ์ห้า

๓. อภิสังขารมาร คือ มารคือสิ่งที่เป็นตัวปรุงแต่งหรือถูกปัจจัยปรุงแต่ง

๔. เทวบุตรมาร คือ มารคือเทวบุตรที่ใฝ่ต่ำ

๕. มัจจุมาร คือ มารคือความตาย

เป็นที่น่าสังเกตว่า การจำแนกกิเลสในความหมายของคำว่ามารนี้ ท่านจำแนกรวมกิเลสที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมเข้าด้วยกัน กล่าวคือ มารทั้ง ๕ ประเภทนี้เป็นสภาวธรรมฝ่ายอกุศลที่ปรากฎภายนอกและภายในตนเอง ซึ่งต่างจากอกุศลมูล ( โลภะ โทสะ และโมหะ) ที่เกิดภายในตนเอง (อัตตสัมภูต) เท่านั้น และ คำว่า " ตน " ในที่นี้ก็หมายถึงจิตเท่านั้น

ระดับของกิเลส

เกี่ยวกับระดับของกิเลสนี้ ท่านจำแนกไว้ ๓ ระดับ คือ :

๑. กิเลสอย่างหยาบ (วีติกกมกิเลส) คือ กิเลสระดับต้นที่เป็นเหตุให้แสดงพฤติกรรมที่เร่าร้อนและรุนแรงทางกายและวาจาของบุคคลผู้หมุกมุ่นในกามคุณ ๕ อย่างรุนแรง กิเลสระดับนี้ ได้แก่ อกุศลกรรมบท ๑๐ อย่าง

?

มี การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ เป็นต้น กิเลสระดับนี้กำจัดได้ด้วยศีล

๒. กิเลสอย่างกลาง ( ปริยุฎฐานกิเลส) คือ กิเลสระดับกลางที่เป็นปฎิปักข์ต่อความสงบแห่งใจ คอยขัดขวางไม่ให้ใจเกิดสมาธิ กิเลสระดับนี้ ได้แก่ นิวรณ์ ๕ มี กามฉันทะ พยาบาท เป็นต้น และอุปกิเลส ๑๖ มีความโกรธ ความถือตัว เป็นต้น กิเลสระดับนี้กำจัดได้ด้วยสมาธิ

๓. กิเลสอย่างละเอียด (อนุสัยกิเลส) คือ กิเลสระดับสูงสุดที่หมักหมมนอนเนื่องแนบแน่นในส่วนลึกแห่งใจจนเกิดความรู้สึกว่ากิเลสหมดแล้ว แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ต่อเมื่อใจถูกอารมณ์อันเป็นปฎิปักข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ กิเลสระดับนี้จะปรากฎขึ้นทันที เปรียบเหมือนตะกอนที่นอนนิ่งในน้ำ หากน้ำถูกรบกวนอยางรุนแรงมันจะฟูฟุ้งขึ้นทันทีตามแรงกระทบของน้ำนั้นๆ กิเลสระดับนี้ ได้แก่ อนุสัยกิเลส ๗ มี กามราคะ ปฎิฆะ เป็นต้น วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ มี โอภาส ญาณ เป็นต้น กิเลสระดับนี้กำจัดได้ด้วยปัญญา

สมุฎฐานของกิเลส

เกี่ยวกับสมุฎฐานของกิเลสหรือที่ที่กิเลสเกิดนั้น ในคัมภีร์ขุททกนิกาย มหานิเทศ แสดงไว้ว่า " โลโภ โทโส จ โมโห ปุริสํ ปาปเจตสํ หึสนติ อตตสมภูตา ตจสารํ ว สมผลํ " แปลว่า ความโลภ ความโกรธ และความหลง เกิดจากตัวเอง ย่อมเบียดเบียนใจคนเลว เปรียบเหมือนขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ ฉะนั้น พุทธพจน์บทนี้หมายความว่า กิเลสเกิดขึ้นภายในตนเองด้วยการอิงอาศัยเหตุปัจจัยภายในและภายนอกเป็นสิ่งเร่งเร้าผลักดันให้เกิดขึ้น กล่าวคือ อายตนะภายใน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ กระทบกับอายตนะภายนอก ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ และธรรมารมณ์ ก่อให้เกิดความคิดปรุงแต่งว่าเป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง เฉยๆบ้าง ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการของหลักปฎิจจสมุปบาท กิเลสเป็นเจตสิกธรรมฝ่ายอกุศลมีการเกิดดับพร้อมกับจิต และมีอารมณ์กับวัตถุอันเดียวกันกับจิต ในคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ ได้แสดงจิตโดยพิศดารว่ามีจำนวน ๑๒๑ ดวง หรือ ๘๙ ดวง โดยย่อ มีการจำแนกอกุศลจิตออกเป็น ๑๒ ดวง คือ :

-โลภมูลจิต ๘ ดวง

-โทสมูลจิต ๒ ดวง

-โมหมูลจิต ๒ ดวง

เป็นที่น่าสังเกตว่า อกุศลจิตหรือจิตที่ประกอบด้วยกิเลสตามนัยนี้มีจำนวนเพียง ๑๒ ดวง จากจำนวนทั้งหมด ๑๒๑ ดวง (กุศลจิต ๒๑ ดวง) แต่ปรากฎว่าอกุศลจิตกลับมีพลังมากในการลิขิตชีวิตของสรรพสัตว์ให้หวั่นไหวและเวียนว่ายในวัฎทุกข์

วิธีละกิเลส

ผู้ปรารถนาละกิเลส จะต้องดำเนินตนตามมรรควิถีแห่งมัชฌิมาปฎิปทาเป็นปฐม และต้องปฎิบัติตนตรงตามมรรคนั้นด้วยความพอดีคือไม่ยิ่งไม่หย่อนจนเกินไป ในเรื่องนี้ พุทธทาสภิกขุ ให้ทัศนะว่า " มัชฌิมาปฎิปทานี้ ระวังดูให้ดีๆ มันไม่เกี่ยวกับคำว่าเคร่งนะ ถ้าพูดว่าเคร่งอย่างถูกต้อง ต้องคือมัชฌิมาปฎิปทา แต่ถ้าเกินมัชฌิมาปฎิปทาแล้วก็ มันเกินเคร่งแล้ว มันบ้าแล้ว "

วิธีละกิเลส ๕ ประการ คือ :

๑. วิกขัมภนปหาน คือ การละกิเลสด้วยการข่มไว้ของผู้บำเพ็ญฌาน

๒. ตทังคปหาน คือ การละกิเลสด้วยองค์นั้นๆ กล่าวคือ การใช้ธรรมที่เป็นปฎิปักข์กันเป็นเครื่องละ เช่น ความโกรธละด้วยเมตตาธรรม เป็นต้น

๓. สมุจเฉทปหาน คือ การละกิเลสด้วยการตัดขาดโดยโลกุตตรมรรค

๔. ปฎิปัสสัทธิปหาน คือ การละกิเลสด้วยความสงบระงับโดยโลกุตตรมรรคจนกว่าจะบรรลุนิพพาน

๕. นิสสรณปหาน คือ การละกิเลสด้วยการสละสิ้นความทุกข์อย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ บรรลุนิพพาน

คำที่มีความหมายเดียวกับ " ปหาน " ศัพท์ มีหลายคำ เช่น นิโรธ วิมุติ วิเวก วิราคะ โวสสัคคะ เป็นต้นศัพท์เหล่านี้เป็นไวพจน์ของกันและกัน

นอกจากวิธีละกิเลสทั้ง ๕ ประการนี้ ยังมีวิธีละกิเลสอีก ๗ ประการ ดังพุทธพจน์ที่ว่า " ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะที่จะพึงละได้เพราะการเห็นมีอยู่ ที่จะพึงละได้เพราะการสังวรก็มี ที่จะพึงละได้เพราะการเสพเฉพาะก็มี ที่จะพึงละได้เพราะการอดกลั้นก็มี ที่จะพึงละได้เพราะการเว้นรอบก็มี ที่จะพึงละได้เพราะการบรรเทาก็มี ที่จะพึงละได้เพราะการอบรมก็มี "

ในการละกิเลสนี้ ผู้มากด้วยกิเลสคือราคะ โทสะ และโมหะ แต่อินทรีย์ ๕ ( สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา) มีกำลังยิ่ง จะสามารถละกิเลสได้เร็วกว่าผู้มีกิเลสน้อยแต่อินทรีย์ ๕ ไม่มีกำลัง

นิพพาน

"ความหมายของคำว่า "นิพพาน

หลักคำสอนในพุทธศาสนาที่นับว่าสำคัญที่สุดคือนิพพาน นิพพานเป็นภาวะแห่งปรมัตถธรรมอันสูงสุดและเป็นจุดหมายหลักแห่งชีวิตของพุทธศาสนิกชน คำสอนต่างๆที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงย่อมเป็นไปเพื่อการบรรลุนิพพานทั้งสิ้น เพื่อความเข้าใจในเรื่องนิพพาน จะให้ความหมายพอสังเขปดังต่อไปนี้

คำว่า " นิพพาน " เป็นภาษาบาลีมาจาก นิ อุปสรรค (แปลว่า พ้นไป หมดไป เลิก ไม่มี) + วาน (แปลว่า พัดไป เป็นไป เครื่องรึงรัด) หากใช้เป็นกิริยาของไฟหรืออาการของไฟ แปลว่า ดับไฟ ดับร้อน เย็นลง หากใช้เป็นกิริยาของจิตหมายถึงความเย็นใจ ไม่มีความกระวนกระวาย ไร้เครื่องเสียดแทง

ในภาษาสันสกฤตเป็น "นิรวาน" มาจากคำว่า นิร+วาน คำแรกมีความหมายเชิงปฎิเสธ ส่วนคำหลังเป็นชื่อของกิเลส คำว่า นิรวาน หมายถึงการดับกิเลส

ในวิสุทธิมรรค พระพุทธโฆษาจารย์ ให้ความหมายว่า "นิพพาน คือสภาวะที่ปราศจากกิเลสที่เรียกว่า วาน . หมายถึง เครื่องรึงรัดพันธนาการชีวิตให้ติดอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิด "

พจนากรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน " นิพพาน คือความดับสนิทแห่งกิเลสและกองทุกข์ (น.) ดับกิเลสและกองทุกข์ (ก.) ตาย (ใช้แก่พระอรหันต์) "

พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต) " นิพพาน คือการดับกิเลสและกองทุกข์ เป็นโลกุตตรธรรม และเป็นจุดหมายสูงสุดในพุทธศาสนา "

พุทธทาสภิกขุ " นิพพาน คือ ตัดโลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งเป็นมูลเหตุแห่งความร้อนได้จริง "

นาคเสนเถระ " นิพพาน เป็นอนุปาทนียะ คือไม่เป็นที่ตั้งแห่งอุปทาน(ความยึดมั่น) "

ในคัมภีร์ปรมัตถทีปนี กล่าวว่า "นิพพานนั้นเป็นที่ดับความเร่าร้อนที่เกิดจากวัฎทุกข์ทั้งหมด"

มีพุทธพจน์บทหนึ่งว่า " ดูกรราธะ ความสิ้นไปแห่งความอยากคือ นิพพาน "

ความหมายนิพพานนั้น ท่านแสดงไว้ ๔ นัย คือ:

๑.นัยปฏิเสธ เช่น นิพพานคือความสิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ, คือความสิ้นตัณหา , คือจุดจบแห่งทุกข์, คือความไม่ตาย เป็นต้น

๒.นัยอุปมา เช่น นิพพานเป็นเหมือนภูมิภาคอันราบเรียบน่ารื่นรมย์ , เหมือนไฟดับเพราะเชื้อเพลิงหมด เป็นต้น

๓.นัยไวพจน์ เช่น คำว่า สงบ, ปณีต, บริสุทธิ์, เกษม, อุดม เป็นต้น

๔.นัยบรรยายภาวะโดยตรง นัยนี้พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตโต)ให้ทัศนะว่า " แบบนี้มีน้อยแห่ง แต่เป็นที่สนใจของนักศึกษานักค้นคว้ามาก โดยเฉพาะผู้ถือพุทธธรรมอย่างเป็นปรัชญา และมีการตีความกันไปต่างๆ ทำให้เกิดข้อถกเถียงกันได้มาก "

การจำแนกนิพพานทั้ง ๔ นัยนี้ ยึดตามแบบหนังสือพุทธธรรม ในคัมภีร์อรรถกถาสมันตปาสาทิกา ภาค ๑ ท่านใช้นัยปฏิเสธเป็นไวพจน์ของนิพพาน เช่น ความสิ้นไปแห่งตัณหา(ตัณหักขโย) ความสิ้นไปแห่งราคะ(ราคักขโย) เป็นต้น ฉะนั้นจึงอาจรวมนัยปฏิเสธและนัยไวพจน์เข้าด้วยกัน

การดับแห่งขันธ์ ๕ ของพระอรหันต์ เปรียบเหมือนการดับของไฟที่หมดเชื้อ จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าเกิดหรือไม่เกิด มีหรือไม่มี หากแต่เป็นเพียงความเป็นไปตามธรรมชาติแห่งปรมัตถธรรมเท่านั้น หากมีคำถามว่า นิพพานสูญ กระนั้นหรือ? ข้อนี้ อ.วัชระ งามจิตเจริญ อาจารย์ประจำภาควิชาศาสนา-ปรัชญามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้คำตอบว่า "เราจะเรียกนิพพานเป็นความขาดสูญก็ไม่ถูก เพราะไม่มี”ตัวตน อะไรขาดสูญ และการกล่าวว่า นิพพาน คือการขาดสูญของวิญญาณหรือขันธ์ ๕ จะกลายเป็นอุจเฉทวาทไป"

รวมความว่า นิพพานคือภาวะที่ใจมีอิสระภาพจากเครื่องเศร้าหมองทั้งมวล กล่าวคือ กิเลส และนิพพานคือจุดหมายสูงสุดในพุทธศาสนา

ประเภทและระดับของนิพพาน

ตามหลักฐานในคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ท่านจำแนกนิพพานเป็น ๒ ประเภท คือ

๑. สอุปาทิเสสนิพพาน คือ ภาวะที่พระอริยบุคคลบรรลุความเป็นพระอรหันต์ด้วยการดับกิเลสคือ โลภะ โทสะ และโมหะ อย่างเด็ดขาด พระอรหันต์ประเภทนี้เบญจขันธ์ยังดำรงอยู่และเป็นไปตามปกติ จึงต้องประสบกับอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ แต่ความยินดีและความยินร้ายหาเกิดขึ้นแก่ท่านไม่ มีพุทธพจน์รับรองว่า " ภิกษุทั้งหลาย สอุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันต์ผู้ขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำแล้วปลงภาระลงได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนแล้ว สิ้นสังโยชน์ในภพแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยรอบ เธอย่อมเสวยอารมณ์ที่พอใจและไม่พอใจ ยังเสวยสุขและทุกข์อยู่ เพราะความที่อินทรีย์ห้าที่ยังไม่สึกหรอของเธอยังดำรงอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นราคะ โทสะ โมหะ ของภิกษุนั้น เราเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ"

นิพพานประเภทนี้ บางทีเรียกว่ากิเลสนิพพาน

๒. อนุปาทิเสสนิพพาน คือ ภาวะที่พระอริยบุคคลดับกิเลสและขันธ์ ๕ ดับโดยไม่เหลือ เป็นภาวะหลุดพ้นโดยปลอดภัยจากวัฏฏสังสารอย่างสิ้นเชิง มีพุทธพจน์รับรองว่า "ภิกษุทั้งหลาย อนุปาทิเสสนิพพานเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันต์ผู้ขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนแล้ว สิ้นสังโยชน์ในภพแล้ว เพราะรู้โดยชอบ เวทนาทั้งปวงในอัตภาพนี้แหละ ของภิกษุนั้น เป็นธรรมชาติอันกิเลสทั้งหลายมีตัณหาเป็นต้น ให้เพลิดเพลินมิได้แล้ว จักดับเย็น ภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ"

อุปาทิ ศัพท์นี้ มีความหมาย ๒ อย่าง คือ หมายถึงเบญจขันธ์ก็ได้ หมายถึงกิเลสก็ได้

ในคัมภีร์อรรถกถาอภิธัมมัตถสังคหะ เรียกการแบ่งอย่างนี้ว่า เป็นการแบ่งตามปริยายแห่งเหตุ แล้วแสดงวิธีแบ่งอีกอย่างหนึ่ง ตามประเภทแห่งอาการ เป็นนิพพาน ๓ อย่าง โดยใช้คำว่า วิโมกข์ (ความหลุดพ้น) เป็นไวพจน์ของนิพพาน คือ

๑. สุญญตวิโมกข์ คือ ความหลุดพ้นด้วยการพิจารณาเห็นความว่างในนามรูป โดยความเป็นอนัตตา คือ ว่างจากสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา

๒. อนิมิตตวิโมกข์ คือ ความหลุดพ้นด้วยการพิจารณาความไม่มีนิมิตในนามรูป โดยความเป็นอนิจจัง คือ ไม่ถือนิมิตในสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา

๓ อัปปหิณิหิตวิโมกข์ คือ ความหลุดพ้นด้วยการพิจารณาไม่ตั้งความปรารถนาในนามรูป โดยความเป็นทุกขตา คือ พิจารณาเห็นความเป็นไปตามธรรมชาติแห่งสังขตธรรม

บางแห่งท่านจำแนกนิพพานออกอีกเป็น ๓ ประเภท คือ

๑. สันทิฏฐิกนิพพาน คือ นิพพานที่เห็นได้เอง

๒. ตทังคนิพพาน คือ นิพพานที่ดับกิเลสด้วยองค์ธรรมนั้น ๆ

๓. ทิฏฐธัมมนิพพาน คือ นิพพานในชาติปัจจุบัน

?

?

ประเภทและระดับของผู้บรรลุนิพพาน

ทักขิไณยบุคคล หรือ พระอริยบุคคล ท่านจำแนกไว้ ๔ ระดับ คือ

๑. พระโสดาบัน คือ ผู้เข้าถึงกระแสแห่งอริยมรรค เป็นผู้บริบูรณ์ในศีล บำเพ็ญสมาธิและปัญญาได้พอประมาณ ละสังโยชน์ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส

๒. พระสกทาคามี คือ ผู้กำลังถึงความสิ้นทุกข์ และอุบัติขึ้นในโลกอีกครั้งเดียว เป็นผู้บริบูรณ์ในศีล บำเพ็ญสมาธิปัญญาได้พอประมาณ ละสังโยชน์ ๓ ข้อต้นได้ และทำราคะ โทสะ และโมหะ ให้เบาบางลงได้

๓. พระอนาคามี คือ ผู้บำเพ็ญบารมีเกือบบริบูรณ์แล้ว จะปรินิพพานในภพที่อุบัติขึ้น เป็นผู้บริบูรณ์ในสีล สมาธิ บำเพ็ญปัญญาได้พอประมาณ ละสังโยชน์เบื้องต่ำทั้ง ๕ ได้เด็ดขาด

๔. พระอรหันต์ คือ ผู้ทำลายกิเลสได้อย่างเด็ดขาด บำเพ็ญศีล สมาธิ และปัญญาได้บริบูรณ์ ละสังโยชน์ ๑๐ ประการได้ทั้งหมด

พระอริยบุคคล ๓ ประเภทแรก เรียกว่า พระเสขะ หรือผู้ที่ยังต้องศึกษาในไตรสิกขา ส่วนพระอริยบุคคลประเภทที่ ๔ เรียกว่า พระอเสขะ หรือผู้ศึกษาจนเจนจบบริบูรณ์แล้วในไตรสิกขา

ในส่วนพระอรหันต์นั้น ท่านจำแนกเป็น ๒ ประเภท ได้แก่ พระปัญญาวิมุติ คือผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา และพระอุภโตภาควิมุติ หรือพระเจโตวิมุติ คือผู้ได้ฌาน สมาบัติ และบรรลุพระอรหันต์ด้วย

?

วิธีเจริญ ผู้หวังบรรลุนิพพานต้องปฏิบัติตนตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ หรือ เรียกว่า ปฏิบัติตนตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปํญญา

?

เปรียบเทียบกิเลสกับนิพพาน

เพื่อง่ายต่อความเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างกิเลสกับนิพพาน จะได้เปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของสภาวะธรรมทั้ง ๒ นี้ ในบางประเด็นดังต่อไปนี้

?

กิเลส นิพพาน

  • สภาวภาพ

?

สังขตธรรม, โลกิยธรรม อสังขตธรรม, โลกุตตรธรรม

  • คุณภาพ

?

เครื่องเศร้าหมองแห่งใจ, ร้อน ความสงบผ่องใสแห่งใจ, เย็น

  • ลักษณะภาพ

?

อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา นิจจัง, สุขัง, อนัตตา

  • สัมฤทธิภาพ

?

เป็นมูลเหตุแห่งทุกข์ เป็นที่สิ้นทุกข์, ไม่เป็นผลของเหตุ

  • บูรณภาพ

?

ไม่สมบูรณ์, ยิ่ง-หย่อน สมบูรณ์

  • สัมพัทธภาพ

?

มีเหตุปัจจัยอาศัยกันเกิด, มีกาละเทสะเป็นตัวแปร ไม่มีเหตุปัจจัย, ไร้กาละเทสะ

  • เอกภาพ

มีความหลากหลาย, ไม่อิสระ มีหนึ่งเดียว, เป็นอิสระ

?

จากการเปรียบเทียบนี้ จะเห็นได้ว่า กิเลสกับนิพพานมีความแตกต่างกันเป็นอย่างยิ่ง ดูอาจเป็นเรื่องยากที่สิ่งที่มีความแตกต่างกัน จะมีความสัมพันธ์ต่อกันได้ ในนัยนี้ ชี้ให้เห็นว่า ความมีอยู่ของนิพพาน (อสังขตธรรม) ไม่ได้เป็นสิ่งสัมพันธ์กับความมีอยู่ของกิเลส (สังขตธรรม) โดยประการใด ๆเลย กล่าวคือ ความมีอยู่ของอสังขตธรรม หาได้ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยของสังขตธรรมไม่

ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ความแย้งกันกับหัวข้อรายงานฉบับนี้ ย่อมมี? แก้ว่า หาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อมีมุมมองใหม่ไซร้ ความสัมพันธ์ระหว่างกิเลสกับนิพพานพึงมีได้ . มีอย่างไร ?

?

ความสัมพันธ์ระหว่างกิเลสกับนิพพาน

?

ตามธรรมดาสิ่งที่มีลักษณะไม่เหมือนกัน จะก่อให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันนั้น นับว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากยิ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างกิเลสกับนิพพานคงเป็นไปตามกฎนั้น อย่างไรก็ตาม หากมองอีกแง่หนึ่ง อาจสรุปได้ว่า "กิเลสกับนิพพานสัมพันธ์กัน" โดยมีทัศนะดังต่อไปนี้

๑. กิเลสมี นิพพานจึงมี, กิเลสไม่มี นิพพานก็ไม่มี = ข้อนี้ไม่ได้หมายความว่า กิเลสเป็นเหตุให้นิพพานเกิดขึ้น และนิพพานเป็นผลของกิเลส แต่มุ่งถึงความดับกิเลสของนิพพานเป็นสำคัญ อุปมาเหมือนเมื่อความมืดมี ความสว่างย่อมมี, อวิชชามี วิชชาย่อมมี, ความทุกข์มี ความสุขย่อมมี ฉะนั้น มีพุทธพจน์รับรองว่า "ภิกษุทั้งหลาย หากธรรมชาติที่ไม่เกิด ปัจจัยอะไร ๆ ทำไม่ได้ ไม่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง อะไร ๆ จะไม่ได้มีแล้ว การสลัดออกจากธรรมชาติที่เกิด ที่เป็นปัจจัยอะไร ๆ ทำไม่ได้ ถูกปัจจัยปรุงแต่งจะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย"

ข้อนี้ไม่ได้หมายความว่า หากกิเลส (สังขตธรรม) ไม่มีอยู่ นิพพาน (อสังขตธรรม) จะไม่มีตามด้วย แต่นิพพานจะปรากฏขึ้นต่อเมื่อกิเลสไม่มี หรือ อีกนัยหนึ่ง นิพพานคือ การสลัดออกจากสภาพปรุงแต่งคือกิเลส

อาจมีคำถามว่า ถ้าสังขตธรรมไม่เกิดขึ้น นิพพานก็ไม่มีเหมือนกัน ข้อนี้ พระมหาอุทัย ญาณธโร ให้คำตอบว่า"หากเรามองในอีกทางหนึ่งว่า พระนิพพานเป็นสิ่งมีอยู่ก่อน โดยที่สังขตธรรมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลัง ในแง่นี้ สังขตธรรมทั้งมวล จึงกลายเป็นสิ่งสัมพันธ์กับพระนิพพาน หรืออสังขตธรรมแทน

๒. กิเลสกับนิพพาน มีสมุฏฐานเดียวกัน : กิเลสและนิพพานเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นที่ใจเหมือนกัน กล่าวคือ กิเลสเป็นเจตสิกธรรมฝ่ายอกุศลและถูกปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นพร้อมกับจิต ดังปรากฏในขุททกนิกาย มหานิเทส ว่า

" โลภะ โทสะ และโมหะ เกิดจากตนเอง ย่อมเบียดเบียนใจคนเลว เหมือนขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ ฉะนั้น"

ส่วนนิพพานก็เกิดที่ใจในเมื่ออาสวะกิเลสสิ้นไป ดังพุทธพจน์ว่า

" จิตที่ปัญญาอบรมเต็มที่แล้ว ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย " กิเลสกับนิพพานเกิดที่ใจเหมือนกัน แต่ปรากฏต่างขณะจิตกัน เปรียบเหมือนพี่น้องร่วมท้องมารดาคนเดียวกัน แต่มีทัศนะคติไม่เหมือนกัน ฉะนั้น

๓. กิเลสหมดนิพพานมา : ข้อนี้เป็นความสัมพันธ์แบบต่อเนื่องกันและกัน กล่าวคือ เมื่อกิเลสค่อย ๆ หมดไป หรือหมดแบบฉับพลัน นิพพานก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น หรือปรากฏขึ้นแบบฉับพลัน เหมือนอาทิตย์อุทัยส่องแสง เพื่อขจัดความมืดพออาทิตย์อุทัยขึ้นเท่านั้น ความมืดก็ถูกทำลายไป ความสว่างปรากฏแทนที่ ฉะนั้น

๔. กิเลสกับนิพพานเป็นคู่ปรับกัน : ข้อนี้มีพุทธพจน์รับรองว่า "เพราะสังขตธรรมมีอยู่ แม้อสังขตธรรมก็มี เพราะมีความเป็นคู่ปรับต่อสภาวะธรรม เหมือนเมื่อทุกข์มี แม้สุขที่เป็นคู่ปรับกับทุกข์นั้นก็มีอยู่เหมือนกัน ฉะนั้น"

ความสัมพันธ์ในลักษณะเป็นคู่ปรับเช่นนี้ เหมือนงูกับพังพอน, กากับนกเค้าแมว, หมีกับไม้ตะคร้อ, รัฐบาลพม่ากับนักศึกษาพม่า (ในปัจจุบันนี้) เป็นต้น

๕. กิเลสเป็นตัวทุกข์ นิพพานเป็นที่สิ้นทุกข์ : ความสัมพันธ์กันในแง่นี้ คือ กิเลสเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ทั้งมวล คือ เกิด แก่ เจ็บ และตาย หรือสภาวะทุกข์ ความเศร้าโศกเสียใจ พลัดพรากจากของรัก เป็นต้น หรือ ปกิณกะทุกข์ รวมความว่า กิเลสเป็นเบื้องต้นแห่งทุกข์ ส่วนนิพพานเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ทั้ง ๒ อย่างอยู่คนละด้าน แต่สัมพันธ์กันในฐานะที่อันหนึ่งเป็นเบื้องต้น ส่วนอันหนึ่งเป็นที่สุดแห่งทุกข์ เหมือนปลายไม้ ๒ ด้าน ที่อิงอาศัยกันและกัน แต่ไม่เคยอยู่ด้านเดียวกัน ฉะนั้น มีพุทธพจน์รับรองว่า "เมื่อละความยินดีได้ ก็ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด ก็ไม่ต้องตายบ่อย ๆ เมื่อไม่เกิดไม่ตายบ่อย ๆ ชาตินี้ชาติหน้าก็ไม่มี ระหว่างชาติทั้ง ๒ ก็ไม่มี นี้เองชื่อว่า พระนิพพาน อันเป็นที่สุดแห่งทุกข์"

๖. กิเลสกับสอุปาทิเสสนิพพาน : หากมองในแง่ที่สอุปาทิเสสนิพพาน หมายถึงการดับกิเลสได้บางส่วน เช่น การดับกิเลสของพระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี แต่กิเลสบางส่วนยังเหลืออยู่ ในข้อนี้ อาจารย์วศิน อินทสระ ให้ทัศนะว่า"เหมือนกองไฟกองหนึ่ง สมมติว่ามีฟืนอันเป็นเชื้อเพลิงมีอยู่ ๑๐ ดุ้น เมื่อชักเชื้อเพลิงออกเสีย ๓ ดุ้น ความร้อนของกองเพลิง ย่อมลดลง ทำนองเดียวกัน ความเร้าร้อนเพราะเพลิงกิเลสของพระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี ย่อมบรรเทาลงมาก แต่ยังไม่ถึงกับเย็นสนิท"

ความข้อนี้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างกิเลสกับนิพพานในลักษณะที่มีความเป็นไปพร้อม ๆ กัน ต่างแต่เพียงว่า กิเลสเป็นไปแบบอ่อนกำลังลงไปเรื่อย ๆ ในขณะที่นิพพานเป็นไปแบบเพิ่มพลังขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับกองไฟใหญ่ที่ค่อย ๆ ดับลง เพราะถูกห้วงน้ำที่ใหญ่กว่าท่วมทับทีละน้อย ๆ ฉะนั้น

๘. กิเลสกับนิพพานเป็นอนัตตา : ธรรมทั้ง ๒ นี้ มีความสัมพันธ์กัน คือมีอนัตตลักษณะ เป็นลักษณะร่วม ต่างกันคือ กิเลสอยู่ภายใต้เงื่อนไขของอนิจจลักษณะ และทุกขลักษณะเท่านั้น ดังพุทธพจน์ที่ว่า "สัพเพ ธัมมา อนัตตา" แปลว่า ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตาหรือมิใช่มีตัวตนที่เที่ยงแท้ ในวิสุทธิมรรค พระพุทธโฆษาจารย์ให้ความหมายของอนัตตาไว้ ๔ ประการ คือ

๑. สุญญโต เพราะเป็นสภาพว่างจากสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ที่เที่ยงแท้

๒. อัสสามิกโต เพราะเป็นสภาพหาเจ้าของไม่ได้

๓. อวสวัตติโต เพราะไม่เป็นไปตามอำนาจของใคร

๔. อัตตปฏิเขปโต เพราะปฏิเสธอัตตาที่เที่ยงแท้

ความสัมพันธ์ระหว่างกิเลสกับนิพพานเท่าที่จำแนกนี้ อาจเป็นไปในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน และคาบเกี่ยวกันบ้างในการให้เหตุผลประกอบบางประเด็น แต่ลักษณะเช่นนี้ก็เป็นการยืนยันในบริบทแห่งความสัมพันธ์ระหว่างกิเลสกับนิพพานว่ามีความเกี่ยวโยง และสนับสนุนกันและกันจนแยกยากออกจากกันได้

การเขียนรายงานเรื่องกิเลสกับนิพพานนี้ นับว่าเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก เพราะนิพพานเป็นภาวะประณีต มีอรรถลึกซึ้ง รู้ตามได้ยาก ไม่อาจเข้าใจจนแจ่มแจ้งได้ด้วยการหาเหตุผลตามตรรกวิธี อีกทั้งผู้เขียนยังถูกเครื่องพันธนาการคือกิเลสรึงรัดไว้อย่างแน่นหนา เปรียบเหมือนคนว่ายน้ำวนเวียนกลางทะเลหลวง มองไม่เห็นฝั่ง มีเพียงความคาดหวังและความพยายามที่จะตะเกียกตะกายเพื่อพบฝั่งโดยสวัสดี เท่านั้น (รายงานฉบับนี้พยายามให้มีพลความน้อยที่สุด เพื่อให้เนื้อหากะทัดรัดและรัดกุม แต่ก็เป็นไปตามทำนองที่เรียกว่า "รักพี่เสียดายน้อง" โบราณกล่าวไว้ว่า "ช้า ๆ ได้พร้า ๒ เล่มงาม" สำนวนไทยบทนี้อาจจะขัดกันกับบทที่ว่า "สุกเอา เผากิน" รายงานฉบับนี้รู้สึกว่า จะชอบใจสำนวนแรก เพราะบังเอิญส่งเกินกำหนด แต่อาจเกิดปัญหาว่า ส่งรายงานเร็ว แต่คุณภาพไม่ค่อยจะดี และได้คะแนนน้อย กับส่งช้า คุณภาพดีขึ้น และได้คะแนนมากขึ้น แต่ถูกตัดคะแนน เพราะส่งเกินกำหนด ๒ อย่างนี้ อันไหนจะดีกว่ากัน ? ปัญหานี้ไม่เป็นวิสัยของผู้เขียน แต่คิดว่าอาจารย์ประจำวิชามีคำตอบชัดในใจอยู่แล้ว แต่นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง)

สรุป

ทัศนะภาคเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกิเลสกับนิพพานในพุทธปรัชญาเถรวาท จัดได้ว่าเป็นทัศนะภาคที่ยากยิ่งต่อการตีความให้เกิดความเข้าใจอย่างง่าย ๆ ได้ด้วยโวหารบัญญัติ อันเป็นโลกนิรุติซึ่งเป็นเพียงสมมติสัจจะระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ก็อาจเข้าใจได้ในระดับหนึ่งในนัยนี้คือ กิเลสกับนิพพานมีความสัมพันธ์กันในลักษณะที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน หรือเป็นไปในแนวเส้นขนาน กล่าวคือ กิเลสเป็นสภาวะที่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง และเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ส่วนนิพพานเป็นภาวะที่ไม่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง และไม่เป็นเหตุและผลของสิ่งใด เป็นแต่เพียงอาการที่จิตมีอิสรภาพปราศจากกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งปวงเท่านั้น ธรรมทั้ง ๒ นี้ มีลักษณะร่วมกันคือ ความเป็นสภาพที่มิใช่ตัวตน และมีสมุฏฐานคือ ใจ เหมือนกัน

ฉะนั้น ทัศนะภาคเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกิเลสกับนิพพานนี้ อาจให้ความรู้สึกว่าไม่เกินความเป็นจริง หากมองมุมใหม่อาจให้ความรู้สึกว่าเกินความเป็นจริงก็ได้.

?