รวมเว็บพุทธศาสนา | การปกครองสงฆ์ | สมณศักดิ์-พัศยศ | พุทธรูปปางสำคัญ | โชคชตาราศี |
ประเพณี-วันสำคัญ | สมาธิภวนา | พิธีกรรม | ||
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์
พ.ศ.๒๕๐๕
--------------------------
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๐๕
เป็นปีที่ ๑๗ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฏหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้
โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาร่างรัฐธรรมนุญในฐานะรัฐสภา
ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชบัญญัตินี้ให้เรียกว่า "พระราชบัญญัติคณะสงฆ์
พ.ศ.๒๕๐๕"
มาตรา ๒
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓
ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พุทธศักราช
๒๔๘๔
มาตรา ๔
ภายในระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
บรรดากฏกระทรวง สังฆาณัติ
กติกาสงฆ์ กฏองค์การ
พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช
ข้อบังคับและระเบียบเกี่ยวกับคณะสงฆ์
ที่ใช้บังคับอยู่ในวันประกาศพระราชบัญญัตินี้
ในราชกิจจานุเบกษา
ให้คงใช้บังคับต่อไปเท่าที่ไม่ขัดแย้ง
กับพระราชบัญญัตินี้
ทั้งนี้จนกว่าจะมีกฏกระทรวง
กฏมหาเถรสมาคม
พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช
ข้อบังคับหรือระเบียบของมหาเถรสมาคม
ยกเลิก หรือมีความอย่างเดียวกัน
หรือขัดแย้งกัน หรือกล่าวไว้
เป็นอย่างอื่น
มาตรา ๕
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรา ๔
บรรดาอำนาจหน้าที่
ซึ่งกำหนดไว้ในสังฆาณัติ
กติกาสงฆ์ กฏองค์การ
พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช
ข้อบังคับและระเบียบเกี่ยวกับคณะสงฆ์
ให้เป็นอำนาจหน้าที่
่ของพระภิกษุตำแหน่งใด
หรือคณะกรรมการสงฆ์ใดซึ่งไม่มีในพระราชบัญญัตินี้
ให้มหาเถรสมาคม
มีอำนาจกำหนดโดยกฏหมายมหาเถรสมาคม
ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของพระภิกษุตำแหน่งใด
รูปใด
หรือหลายรูปร่วมกันเป็นคณะตามที่เห็นสมควรได้
มาตรา ๖
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจ
ออกกฏกระทรวงเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้
กฏกระทรวงนั้น
เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด
๑ |
มาตรา ๗
พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช
มาตรา ๘ สมเด็จพระสังฆราชทรงดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปรินายก
ทรงบัญชาการคณะสงฆ์
และทรงตราพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช
โดยไม่ขัดแย้งกับกฏหมาย
พระธรรมวินัยและ
กฏมหาเถรสมาคม
มาตรา ๙
สมเด็จพระสังฆราชทรงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมหาเถรสมาคม
มาตรา ๑๐
ในเมื่อไม่มีสมเด็จพระสังฆราช
ให้สมเด็จพระราชคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยพรรษา
ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
ในเมื่อสมเด็จพระสังฆราชจะไม่ทรงประทับอยู่ในราชอาณาจักร
หรือไม่อาจทรงปฏิบัติหน้าที่ได้
สมเด็จพระสังฆราชจะได้ทรงแต่งตั้งให้สมเด็จพระราชาคณะรูปหนึ่งปฏิบัติหน้าที่แทน
ถ้ามิได้ทรงแต่งตั้งไว้
ให้สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยพรรษาปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
ในกรณีที่สมเด็จพระราชาคณะซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช
ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชได้
ให้สมเด็จพระราชาคณะรูปอื่นผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยพรรษา
ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
ในกรณีที่สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยพรรษา
ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชได้
ให้สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสรองลงมาโดยพรรษาตามลำดับปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการประกาศนามสมเด็จพระราชาคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่
สมเด็จพระสังฆราชตามมาตรานี้ในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๑๑
สมเด็จพระสังฆราชพ้นจากตำแหน่ง
เมื่อ
(๑) มรณภาพ
(๒)
พ้นจากความเป็นพระภิกษุ
(๓) ลาออก
(๔)
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ออก
หมวด
๒ |
มาตรา ๑๒
มหาเถรสมาคมประกอบด้วยสมเด็จพระสังฆราช
ซึ่งทรงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ
โดยตำแหน่ง
สมเด็จพระราชาคณะทุกรูปเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง
และพระราชาคณะ
ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งมีจำนวนไม่ต่ำกว่าสี่รูป
และไม่เกินแปดรูป เป็นกรรมการ
มาตรา ๑๓
ให้อธิบดีกรมการศาสนาเป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง
และให้กรมการศาสนาทำหน้าที่สำนักงานเลขาธิการมหาเถรสมาคม
มาตรา ๑๔
กรรมการมหาเถรสมาคมซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี
และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้
มาตรา ๑๕
นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา
๑๔ กรรมการมหาเถรสมาคม
ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้ง
พ้นจากตำแหน่ง คือ
(๑) มรณภาพ
(๒)
พ้นจากความเป็นพระภิกษุ
(๓) ลาออก
(๔)
สมเด็จพระสังฆราชมีบัญชาให้ออก
ในกรณีที่กรรมการมหาเถรสมาคมพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ
สมเด็จพระสังฆราชอาจทรงแต่งตั้ง
พระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งเป็นกรรมการแทน
กรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งตามความในวรรคก่อนอยู่ในตำแหน่งตามวาระของผู้ซึ่งตนแทน
มาตรา ๑๖
ในเมื่อประธานกรรมการมหาเถรสมาคมไม่อาจมาประชุม
หรือไม่อยู่ในที่ประชุม
มหาเถรสมาคม
และมิได้มอบหมายให้สมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งปฎิบัติหน้าที่แทน
ให้มหาเถรสมาคมแต่งตั้งสมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งปฏิบัติหน้าที่แทน
การประชุม
มหาเถรสมาคมเพื่อการแต่งตั้งนี้
ให้กรรมการซึ่งเป็นสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยพรรษา
เป็นประธานแห่งที่ประชุม
มาตรา ๑๗
การประชุมมหาเถรสมาคมต้องมีกรรมการโดยตำแหน่งและกรรมการโดยแต่งตั้ง
รวมกันมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมด
จึงเป็นองค์ประชุม
ระเบียบการประชุมมหาเถรสมาคมให้เป็นไปตามกฏมหาเถรสมาคม
มาตรา ๑๘
มหาเถรสมาคมมีอำนาจหน้าที่ปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปโดยเรียบร้อย
เพื่อการนี้
ให้มีอำนาจตรากฏมหาเถรสมาคมออกข้อบังคับ
วางระเบียบหรือออกคำสั่งโดยไม่ขัดแย้งกับกฏหมาย
และพระธรรมวินัย ใช้บังคับได้
มาตรา ๑๙
การแต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคม
และการให้ให้กรรมการมหาเถรสมาคมออก
จากตำแหน่ง
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบัญชา
สมเด็จพระสังฆราช
หมวด
๓ |
มาตรา ๒๐
การจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปตามกำหนดในกฏมหาเถรสมาคม
มาตรา ๒๑
การปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค
ให้จัดแบ่งเขตการปกครองดังนี้
(๑) ภาค
(๒) จังหวัด
(๓) อำเภอ
(๔) ตำบล
จำนวนและเขตปกครองดังกล่าวให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฏมหาเถรสมาคม
มาตรา ๒๒
การปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค
ให้มีพระภิกษุผู้ปกครองตามชั้นตามลำดับ
ดังต่อไปนี้
(๑) เจ้าคณะภาค
(๒) เจ้าคณะจังหวัด
(๓) เจ้าคณะอำเภอ
(๔) เจ้าคณะตำบล
เมื่อมหาเถรสมาคมเห็นสมควร
จะจัดให้มีรองเจ้าคณะภาค
รองเจ้าจังหวัด รองเจ้าคณะอำเภอ
และรองเจ้าคณะตำบล
เป็นผู้ช่วยเจ้าคณะนั้น ๆ
ก็ได้
มาตรา ๒๓
การแต่งตั้ง ถอดถอนพระอุปัชฌาย์
เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส
ผู้ช่วยเจ้าอาวาส
พระภิกษุอันเกี่ยวกับตำแหน่งปกครองคณะสงฆ์ตำแหน่งอื่น
ๆ และไวยาวัจกร
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
และวิธิการที่กำหนดในกฏมหาเถรสมาคม
หมวด
๔ |
มาตรา ๒๔
พระภิกษุจะต้องรับนิคหกรรมก็ต่อเมื่อกระทำการล่วงละเมิดพระธรรมวินัย
และนิคหกรรมที่จะลงแก่พระภิกษุต้องเป็นนิคหกรรมตามพระธรรมวินัย
มาตรา ๒๕
ภายใต้บังคับมาตรา ๒๔
มหาเถรสมาคมมีอำนาจตรากฏมหาเถรสมาคม
กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติ
เพื่อให้การลงนิคหกรรมเป็นไปโดยถูกต้อง
สะดวก รวดเร็ว
และเป็นธรรม
และให้ถือว่าเป็นการชอบด้วยกฏหมายที่มหาเถรสมาคมจะกำหนดในกฏมหาเถรสมาคม
ให้มหาเถรสมาคม
หรือพระภิกษุผู้ปกครองสงฆ์ตำแหน่งใดเป็นผู้มีอำนาจลงนิคหกรรมแก่พระภิกษุ
ผู้ล่วงละเมิดพระธรรมวินัยกับทั้งการกำหนดให้การวินิจฉัยการลงนิคหกรรมให้เป็นอันยุติในชั้น
ๆ นั้นด้วย
มาตรา ๒๖
พระภิกษุรูปใดล่วงละเมิดพระธรรมวินัย
และได้มีคำวินิจฉัยถึงที่สุดให้ได้รับนิคหกรรม
ให้สึก
ต้องสึกภายใจยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่เวลาที่ได้ทราบคำวินิจฉัยนั้น
มาตรา ๒๗
พระภิกษุรูปใดต้องคำวินิจฉัยให้รับนิคหกรรมไม่ถึงให้สึก
ไม่ยอมรับนิคหกรรมนั้น
หรือประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ
หรือไม่สังกัดอยู่ในวัดใดวัดหนึ่ง
กับทั้งไม่มีที่อยู่
เป็นหลักแหล่ง
มหาเถรสมาคมมีอำนาจวินิจฉัยและมีคำสั่งให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศได้
พระภิกษุผู้ต้องคำวินิจฉัยให้สละสมณเพศตามความในวรรคก่อน
ต้องสึกภายในเจ็ดวันนับแต่วัน
ที่ได้ทราบคำวินิจฉัยนั้น
มาตรา ๒๘
พระภิกษุรูปใดต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้เป็นบุคคลล้มละลาย
ต้องสึกภายในสามวัน
นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด
มาตรา ๒๙
พระภิกษุรูปใดถูกจับโดยต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา
เมื่อพนักงานสอบสวน
หรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราว
และเจ้าอาวาสแห่งวัดที่พระภิกษุรูปนั้นสังกัด
ไม่รับมอบตัวไว้ควบคุม
หรือพนักงานสอบสวนไม่เห็นสมควรให้เจ้าอาวาสรับตัวไปควบคุม
หรือพระภิกษุรูปนั้นมิได้สังกัดในวัดใดวัดหนึ่ง
ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจจัดดำเนินการให้
พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้
มาตรา ๓๐
เมื่อต้องจำคุก
กักขังหรือขังพระภิกษุรูปใดตามคำพิพากษา
หรือคำสั่งของศาล
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจหน้าที่ปฎิบัติการให้เป็นไปตามคำพิพากษา
หรือคำสั่งของศาล
มีอำนาจดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้
และรายงานให้ศาลทราบ
ถึงการสละสมณเพศนั้น
หมวด
๕ |
มาตรา ๓๑ วัดมีสองอย่าง
(๑)
วัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาแล้ว
(๒) สำนักสงฆ์
มาตรา ๓๒ การสร้าง
การตั้ง การรวม การย้าย
การยุบเลิกวัด
และการขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา
ให้เป็นไปตามวิธีการที่กำหนดในกฏกระทรวง
ในกรณียุบเลิกวัด
ทรัพย์สินของวัดที่ถูกยุบเลิกให้ตกเป็นศาสนสมบัติส่วนกลาง
มาตรา ๓๓
ที่วัดและที่ซึ่งขึ้นต่อวัด
มีดังนี้
(๑) ที่วัด
คือที่ซึ่งตั้งวัดตลอดจนเขตของวัดนั้น
(๒) ที่ธรณีสงฆ์
คือที่ซึ่งเป็นสมบัติของวัด
(๓) ที่กัลปนา
คือที่ซึ่งมีผู้อุทิศแต่ผลประโยชน์ให้วัด
หรือพระศาสนา
มาตรา ๓๔
ที่วัดและธรณีสงฆ์
จะโอนกรรมสิทธิ์ได้แต่โดยพระราชบัญญัติ
และห้ามมิให้บุคคลใด
ยกอายุความขึ้นต่อสู้กับวัดในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นที่วัดและที่ธรณีสงฆ์
มาตรา ๓๕
ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์เป็นทรัพย์สินซึ่งไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
มาตรา ๓๖
วัดหนึ่งให้มีเจ้าอาวาสรูปหนึ่ง
และถ้าเป็นการสมควรจะให้มีรองเจ้าอาวาส
หรือผู้ช่วย
เจ้าอาวาสด้วยก็ได้
มาตรา ๓๗
เจ้าอาวาสมีหน้าที่ดังนี้
(๑) บำรุงรักษาวัด
จัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี
(๒)
ปกครองและสอดส่องให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ที่มีถิ่นที่อยู่หรือพำนักอาศัยอยู่ในวัดนั้น
ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยกฏมหาเถรสมาคม
ข้อบังคับ ระเบียบ
หรือคำสั่งของมหาเถรสมาคม
(๓)
เป็นธุระในการศึกษาอบรม
และสั่งสอนพระธรรมวินัยแก่บรรพชิตและคฤหัสถ์
(๔)
ให้ความสะดวกตามสมควรในการบำเพ็ญกุศล
มาตรา ๓๘
เจ้าอาวาสมีอำนาจ ดังนี้
(๑)
ห้ามบรรพชิตหรือคฤหัสถ์
ซึ่งมิได้รับอนุญาตของเจ้าอาวาสเข้าไปอยู่ในวัด
(๒)
สั่งให้บรรพชิตหรือคฤหัสถ์ซึ่งไม่อยู่ในโอวาทของเจ้าอาวาสออกไปเสียจากวัด
(๓)
สั่งให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ที่มีอยู่หรือพำนักอยู่ในวัด
ทำงานภายในวัด หรือให้ทำทัณฑ์บน
หรือให้ขอขมาโทษ
ในเมื่อบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ในวัดนั้นประพฤติผิดคำสั่งเจ้าอาวาสซึ่งสั่งโดยชอบ
ด้วยพระธรรมวินัย กฏมหาเถรสมาคม
ข้อบังคับ ระเบียบ
หรือคำสั่งของมหาเถรสมาคม
มาตรา ๓๙
ในกรณีไม่มีเจ้าอาวาสหรือเจ้าอาวาสไม่อาจปฎิบัติหน้าที่ได้
ให้แต่งตั้งผู้รักษาการแทน
เจ้าอาวาส
ให้ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสมีอำนาจและหน้าที่เช่นเดียวกับเจ้าอาวาส
การแต่งตั้งผู้รักษาแทนเจ้าอาวาส
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฏมหาเถรสมาคม
หมวด
๖ |
มาตรา ๔๐
ศาสนสมบัติแบ่งออกเป็นสองประเภท
(๑) ศาสนสมบัติกลาง
ได้แก่ทรัพย์สินของพระศาสนา
ซึ่งมิใช่ของวัดใดวัดหนึ่ง
(๒)
ศาสนสมบัติของวัด
ได้แก่ทรัพย์สินของวัดใดวัดหนึ่ง
การดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติกลาง
ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกรมการศาสนาเพื่อการนี้ให้ถือว่า
กรมการศาสนาเป็นเจ้าของศาสนสมบัติกลางนั้นด้วย
มาตรา ๔๑
ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำงบประมาณประจำปีของศาสนสมบัติกลาง
ด้วยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม
และเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
ให้ใช้งบประมาณนั้นได้
หมวด
๗ |
มาตรา ๔๒ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๖
มาตรา ๒๗ วรรค ๒ หรือมาตรา ๒๘
ต้องระวางโทษจำคุก
ไม่เกินหกเดือน
มาตรา ๔๓ ผู้ใด
(๑)
หมดสิทธิจะได้รับบรรพชาอุปสมบทโดยต้องปาราชิกมาแล้ว
แต่มารับบรรพชาอุปสมบท
โดยปิดบังความจริง
(๒)
ต้องปาราชิกแล้วไม่ละการแต่งกายอย่างเพศบรรพชิต
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน
มาตรา ๔๔
ผู้ใดใส่ความคณะสงฆ์ไทย
อันอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียหรือความแตกแยก
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
หรือทั้งปรับทั้งจำ
หมวด
๘ |
มาตรา ๔๕
ให้ถือว่าพระภิกษุซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์และ
ไวยาวัจกร
เป็นพนักงานตามความในประมวลกฏหมายอาญา
มาตรา ๔๖
การปกครองคณะสงฆ์ไทย
ให้เป็นไปตามกฏกระทรวง
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล
ส.ธนะรัชต์
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ ;-
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัตินี้
คือโดยที่การจัดดำเนินการกิจการคณะสงฆ์
มิใช่เป็นกิจกาจอันพึงแบ่งแยกอำนาจดำเนินการด้วยวัตถุประสงค์
เพื่อการถ่วงดุลย์
แห่งอำนาจ เช่น
เป็นที่อยู่ตามกฎหมายในปัจจุบันและโดยระบบเช่นว่านั้น
เป็นผลบั่นทอนประสิทธิภาพแห่งการดำเนินกิจการ
จึงสมควรแก้ไขปรับปรุงเสียใหม่
ให้สมเด็จพระสังฆราชองค์สกลมหาสังฆปรินายก
ทรงบัญชาการคณะสงฆ์
ทางมหาเถรสมาคม
ตามอำนาจกฎหมายและพระธรรมวินัย
ทั้งนี้เพื่อความ
เจริญรุ่งเรื่องแห่งพระพุทธศาสนา.